สภาพอากาศในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลยังคงหน้าเป็นห่วง ซึ่งล่าสุดภาครัฐยังไม่สามารถหยุดสถานการณ์ฝุ่นควันได้ในเร็ววัน ดังนั้น การรู้จักดูแลตัวเองและคนที่คุณรัก จึงเป็นวิธีการป้องกันมลภาวะเป็นพิษไม่ให้เข้าสู่ร่างกายได้ดีที่สุด เพื่อป้องกันโรคต่างๆ ที่อาจตามมา อาทิ หอบหืด โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจ และหลอดเลือด 

 

วันนี้เราจึงขอแนะนำวิธีง่ายๆ เมื่อต้องเจอกับภาวะวิกฤตฝุ่นควัน PM 2.5 ฝุ่นละอองขนาดเล็ก ได้ปฏิบัตตามอย่างเคร่งครัด

 

1. หลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝุ่นละออง ควันพิษเป็นจำนวนมาก 

2. ผู้ทำงานหนักกลางแจ้งเป็นระยะเวลานาน ๆ สวมหน้ากาก N95 ด้วยขั้นตอนที่ถูกต้อง หรือหากไม่มีก็สามารถสวมใส่หน้ากากธรรมดาได้

2.1 ล้างมือให้สะอาด 

2.2 ให้ด้านสีเข้มอยู่ด้านนอก 

2.3 กดขอบลวดด้านบนให้พอดีกับสันจมูก 

2.4 ดึงให้คลุมปลายคาง 

2.5 หน้ากากที่ทำด้วยกระดาษใช้ครั้งเดียว ทิ้งในถังที่มีฝาปิดไม่นำกลับมาใช้ใหม่

2.6 ในกรณีที่ใช้ผ้า ต้องซักให้สะอาดทุกครั้งก่อนนำมาใช้ใหม่

3. หากมีอาการระคายเคืองตาหรือแสบตา ควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตา ให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดหรือใช้น้ำตาเทียมหยอดตา

4. งดการเผาใบไม้ เผาขยะที่ก่อให้เกิดกลุ่มควันดำ

5. ไม่ติดเครื่องยนต์เป็นเวลานานในบริเวณบ้าน หลีกเลี่ยงการใช้รถที่มีควันดำ

6. ปลูกต้นไม้เพื่อดักฝุ่นละอองและมลพิษอากาศ 

7. หากค่า PM2.5 อยู่ในระดับสีแดง (91 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) ขึ้นไป ห้ามออกนอกบ้าน

8. ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิดและเปิดพัดลมให้อากาศหมุนเวียน

9. เด็กที่มีโรคประจำตัวควรดูแลเด็กอย่างใกล้ชิดและสังเกตอาการ หากพบว่ามีอาการผิดปกติ เช่น ไอบ่อย หายใจลำบาก หายใจถี่ หายใจไม่ออกให้รีบไปพบแพทย์

10. หมั่นทำความสะอาดบ้านให้บ่อยขึ้น ปัด กวาด เช็ด ถู ด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ที่สามารถเก็บฝุ่นขนาดเล็ก รวมถึงเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน จากอาทิตย์ละครั้ง เป็น 2 ครั้ง
 

 

11. หลังเสื้อผ้าที่ตากไว้แห้งแล้ว ให้รีบเก็บเข้ามาในบ้าน ไม่ควรตากทิ้งไว้ เนื่องจากฝุ่นละอองอาจเกาะสะสมในเนื้อผ้า

12. ติดตามสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในเว็บไซต์กรมอนามัย www.anamai.moph.go.th หรือแอพพลิเคชั่น Air4thai ของกรมควบคุมมลพิษ

ล่าสุดวันนี้(18 มกราคม 2562) กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ รายงานสภาพอากาศ หลายพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล คุณภาพอากาศอยู่ในระดับคุณภาพปานกลางถึงเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ยังไงก็ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ


ขอบคุณข้อมูลจาก กรมอนามัย, กรมควบคุมมลพิษ
ภาพจาก คณะกรรมการอาหารและยา